การออกแบบก่อสร้างโรงสีข้าวพระราชทานเน้นหนักทั้งประสิทธิภาพของการสีข้าวและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป ตลอดระยะเวลา ๖ ปี ที่ผ่านมา เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าโรงสีข้าวพระราชทานมิได้ก่อให้เกิดมลภาวะใดๆ ไม่ว่าด้านกลิ่น เสียงหรือฝุ่นละออง การแปรรูปทั้งข้าวขาวและข้าวกล้อง ก็ได้ทั้งปริมาณและคุณภาพตามมาตรฐาน อัตราการแปรสภาพโดยเฉลี่ยข้าวเปลือก ๑ ตัน หากสีเป็นข้าวขาวก็จะได้ข้าวสาร ๖๕๐ กิโลกรัม ถ้าสีเป็นข้าวกล้อง ก็จะได้ ๗๒๕ กิโลกรัม นับได้ว่าเป็นโรงสีข้าวขนาดเล็กที่ทันสมัยโรงหนึ่งของประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงพัฒนาเครื่องมือ อุปกรณ์และโรงเรือนจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง เริ่มแรกในปี ๒๕๔๑
โรงสีข้าวพระราชทานได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงาน กปร. เพื่อสร้างฉางเก็บข้าวเปลือกขนาด ๕๐๐ ตัน จำนวน ๒ ฉาง และในปี ๒๕๔๔ ได้รับการสนับสนุนเงินยืมจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อสร้างไซโลเก็บข้าวเปลือกขนาด ๒๔๐ ตัน จำนวน ๔ ถัง
นอกจากนี้ในปี ๒๕๔๗ โรงสีข้าวพระราชทานได้ติดตั้งเครื่องคัดแยกเมล็ดข้าว (Rice Color Sorter) ที่สามารถคัดแยกสิ่งเจือปนและเมล็ดข้าวอื่นๆ ที่มีสีแตกต่างจากเมล็ดข้าวสาร (ข้าวขาว) เช่น ข้าวเหนียว ข้าวเมล็ดเหลือง ข้าวเมล็ดดำ และข้าวท้องไข่ เป็นต้น ทำให้ได้ข้าวสารชั้นหนึ่งที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ เครื่องคัดแยกเมล็ดข้าวประกอบด้วยกล้อง CCD (Charge Coupled Device) ติดตั้งเพื่อตรวจจับสิ่งเจือปนและข้าวที่มีสีแตกต่างจากเมล็ดข้าวสาร เมื่อกล้องตรวจพบก็จะส่งสัญญานสั่งให้ปืนลมยิงสิ่งเจือปนหรือเมล็ดข้าวที่มีสีออกไปด้วยความเร็วสูงมาก การทำงานของเครื่องคัดแยกเมล็ดข้าวควบคุมโดยระบบไมโครโปรเซสเซอร์ ซึ่งแสดงผลและสั่งการด้วยระบบสัมผัสหน้าจอ (Touching Screen) เครื่องคัดแยกเมล็ดข้าวดังกล่าว ติดตั้งโดยมีนายยิ่งยอด ยิ่งยืนยง เป็นผู้รับดำเนินงานให้เป็นอย่างดีและใช้งานได้ ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๔๗ โดยได้รับการสนับสนุนเงินยืมจากมูลนิธิศาลาพระราชศรัทธา
พระราชพิพัฒนาทร กดปุ่มเดินเครื่องคัดแยกเมล็ดข้าว เป็นปฐมฤกษ์
เครื่องคัดแยกเมล็ดข้าว (Rice Color Sorter)